นายสุวัฒน์ เอนกศักยพงศ์ ประธานมูลนิธิลพบุรีสามัคคีสงเคราะห์ และคณะกรรมการมูลนิธิลพบุรีสามัคคีสงเคราะห์ ได้แถลงข่าวกรณีล่วงเกินต่อพระภาวนาวชิรญาณ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดลพบุรี ฝ้ายธรรมยุต เจ้าอาวาสวัดนิคมสามัคคีชัย และคณะสงฆ์ รวมถึงศิษยานศิษย์ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2567 ทำให้เกิดความเสียหาย เกิดการเข้าใจผิดและส่งผลเสียต่อพระเดชพระคุณท่าน ต่อวงการสงฆ์ และเสียหายต่อภาพรวมของพระพุทธศาสนาอันเป็นสถาบันหลักของชาติไทยอีกด้วย ซึ่งการจัดแถลงข่าวนี้เพื่อแสดงออกซึ่งความจริงใจและรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้กระทำ
นายสุวัฒน์ กล่าวว่า คณะกรรมการมูลนิธิลพบุรีสามัคคีสงเคราะห์ ได้รับการคัดเลือกขึ้นมาเพื่อให้มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินและกิจการต่างๆ ของมูลนิธิ ซึ่งพวกเราเป็นกรรมการสมัยที่ 29 (ปี 2567-2568) ได้รับทราบเรื่องราวที่เล่ากันต่อๆ มาเกี่ยวกับที่มาของที่ดินที่ตั้งสุสาน ที่อยู่ในพื้นที่ของวัดนิคมสามัคคีชัยว่า
"เมื่อกว่า 60 ปีมาแล้ว มีคนจีนที่มาจากเมืองจีนมาอาศัยอยู่ในจังหวัดลพบุรี ได้รวบรวมเงินซื้อที่ดินเพื่อจะเอาไว้ฝังศพชาวจีนที่เสียชีวิต แต่ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิ์ได้เนื่องจากในสมัยนั้นกฎหมายไม่อนุญาตให้คนจีนมีสิทธิ์ครอบครองที่ดินได้ จึงได้มอบที่ดินนั้นให้สร้างวัดโดยเป็นเรื่องที่รู้กันกับเจ้าอาวาสวัดรูปแรก"
ด้วยเรื่องเล่านี้ ที่ส่งต่อมาจากกรรมการรุ่นก่อนๆ ได้กลายเป็นความเชื่อที่มีสืบต่อกันมาในมูลนิธิจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนั้นพวกเรายังได้รับทราบว่า ด้วยความเชื่อดังกล่าวนี้ ทำให้กรรมการมูลนิธิรุ่นก่อนๆ เกิดข้อขัดแย้งในเรื่องที่ดินที่ตั้งสุสานนี้กับวัดนิคมสามัคคีชัยมาก่อน เป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้วเช่นกัน จึงทำให้พวกเราเชื่อถือว่าเรื่องเล่านี้เป็นความจริงและเห็นว่าควรปฏิบัติเหมือนกรรมการรุ่นก่อนๆ คือจะต้องปกป้องรักษาทรัพย์สินของมูลนิธิเอาไว้ไม่ให้สูญเสียไปในสมัยของเรา และป้องกันไม่ให้คนรุ่นหลังมาตำหนิได้ว่าพวกเราบกพร่องต่อหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเอง ด้วยเหตุดังกล่าวจึงนำมาซึ่งการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ทำให้เกิดความเสียหายตามมาอย่างมากมาย
หลังจากเกิดกรณีพิพาทผ่านมาได้ระยะหนึ่งแล้ว พวกเราได้มีโอกาสศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของวัดนิคมสามัคคีชัย จึงทราบว่า วัดได้เก็บเอกสารทางราชการและการบันทึกประวัติการสร้างวัดตั้งวัดเอาไว้ โดยเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2492 ต่อมาในปี 2495 ชาวบ้านได้ร่วมกันขอใช้พื้นที่สงวนสิทธิ์ของนิคมสร้างตนเองเพื่อเป็นที่สร้างวัดตั้งวัด จำนวน 14 ไร่ ผู้ปกครองนิคมอนุญาต และในปี 2497 วัดได้เรี่ยไรศรัทธาญาติโยมซื้อที่ดินเพิ่มจำนวน 12 ไร่ จากนายเฉื่อย และนางผาด ประสงค์ศรี อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของวัด ด้วยเงินจำนวน 9,300 บาท เพื่อใช้เป็นฌาปนสถาน (ป้าช้า) ของวัด ปัจจุบันในบริเวณนั้นยังมีหลักฐานกองฟอนที่ก่อด้วยปูนซิเมนต์แบบโบราณสำหรับเผาศพยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ และได้สร้างศาลาแปดเหลี่ยมสำหรับสวดศพหน้าไฟ และเจดีย์ทรงจีนสำหรับเก็บเถ้าธาตุอัฐิศพที่เผาแล้วที่เหลือจากทายาทเอาไป (ซึ่งที่แปลงนี้คือพื้นที่พิพาทที่มูลนิธิเข้าใจว่าบรรพบุรุษชาวจีนซื้อเอาไว้จำนวน 8 ไร่ 2 งาน 8 ตารางวา)เมื่อวัดได้ที่ดินสองแปลงรวมเป็นเนื้อที่ 26 ไร่เศษแล้ว จึงได้ติดต่อขอกรรมสิทธิ์จากกรมประชาสงเคราะห์ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลในขณะนั้นเพื่อขออนุญาตสร้างวัด และกรมประชาสงเคราะห์ ได้มีหนังสือที่ 2005/2598 ลงวันที่ 12 มีนาคม 2498 มอบที่ดินให้แก่วัดนิคมสามัคคีชัย เพื่อสร้างวัดตั้งวัดรวมเนื้อที่ 26 ไร่ 3 งาน
ต่อมาเมื่อวันที่ 25พฤษภาคม 2498 กรมที่ดินออกแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ให้กับวัดนิคมสามัคคีชัยวันที่ 1 มิถุนายน 2499 มีหนังสือ อนุญาตให้สร้างวัดนิคมสามัคคีชัย และวันที่ 5กุมภาพันธ์ 2500 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานวิสุงคามสีมา แก่วัดนิคมสามัคคีชัยวันที่ 13 มีนาคม 2548 กรมที่ดินมีโครงการออกโฉนดที่ดินเพื่อการศาสนาเนื่องในโอกาสสถาปนากรมที่ดินครบรอบ 104 ปี วัดนิคมสามัคคีชัยได้ยื่นคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดินโดยใช้แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เป็นหลักฐานแสดงการครอบครองและทำประโยชน์ เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2548
มูลนิธิลพบุรีสามัคคีสงเคราะห์ยื่นคัดค้านและมีการการสอบสวนเปรียบเทียบ ผลการวินิจฉัยของสำนักงานที่ดินจังหวัดลพบุรี ให้วัดนิคมสามัคคีได้ออกโฉนดที่ดินเต็มแปลงตามการนำชี้รังวัด เนื้อที่ 26 ไร่ 1 งาน 32 ตารางวา เมื่อวันที่ 27 พฤกายน 2555 เป็นที่ทราบกันดีว่าในการสร้างวัดตั้งวัดนั้นจะต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียด ตรงตามหลักเกณฑ์ของทางราชการจึงจะสามารสร้างวัดได้ และการที่วัดได้บันทึกประวัติความเป็นมา ประกอบกับเอกสารหลักฐานของทางราชการจากหน่วยงานต่างๆ ล้วนสอดคล้องตรงกันย่อมเป็นที่ยอมรับเชื่อถือว่าเป็นความจริง ซึ่งแตกต่างจากเรื่องเล่าที่บอกต่อๆ กันมาโดยไม่มีหลักฐานเอกสารหรือหลักฐานบุคคลใดมายืนยันของฝ่ายมูลนิธิฯ
นอกจากนั้นพวกเรายังได้ตระหนักย้อนคิดถึงความเมตตาอันใหญ่หลวงของหลวงพ่อพระภาวนาวชิรญาณ เจ้าอาวาสวัดนิคมสามัคคีชัย ที่มีต่อมูลนิธิมาโดยตลอด เพราะทั้งๆที่วัดมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินอย่างถูกต้องทุกประการ แต่ที่ผ่านมาท่านให้โอกาสมูลนิธิในการใช้พื้นที่โดยไม่ได้ขับไลใดๆ ขอเพียงให้ไปทำสัญญาการใช้ประโยชน์และกำหนดพื้นที่ให้ถูกต้องเท่านั้น แต่พวกเราเลือกที่จะไม่ทำเพราะเข้าใจว่าหากทำหนังสือสัญญาแล้ว จะเป็นการยอมรับในสิทธิ์ของวัดและทำให้มูลนิธิเสียสิทธิ์ตั้งเดิมของตนไป
การตัดสินใจที่ผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากความเชื่อมั่นว่าฝ่ายตนเองเป็นฝ่ายถูกต้องทำให้พวกเราใช้ความรู้สึก ประกอบกับข้อมูลที่เป็นเพียงความเชื่อ ทำการแถลงข่าว จัดทำเอกสารแจกจ่ายสื่อมวลชน ทำให้เกิดความเข้าใจผิด มีข้อความคอมเมนต์ ข้อคิดเห็นต่าง ๆที่ทำให้วัดนิคมสามัคคีชัยและหลวงพ่อพระภาวนาวชิรญาณ ตลอดจนคณะสงฆ์ไทยในภาพรวมได้รับเสียหาย เสียชื่อเสียง ผู้คนเสื่อมศรัทธา โดยปรากฎข้อความบางส่วนในสื่อต่างๆ ดังนี้
-ในสมัยนั้นคนจีนที่มาจากเมืองจีนที่มาอาศัยในจังพัดลพบุรีได้รวบรวมเงินขึ้นซื้อที่ดิม
กันเพื่อจะได้ฝังศพคนตายที่มาจากเมืองจีนและให้ที่ดินสร้างวัด และให้กรรมสิทธิ์เป็น
เจ้าของที่ดิน
- เจ้าอาวาสเอาจากคำพูดของมัคทายกมากล่าวอ้างเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งที่ความ
เป็นจริงที่ดินแปลงนี้เกิดมากกว่า 67 ปีแล้ว เจ้าอาวาสอายุเพียง 50 กว่าปีเอง
- เจ้าอาวาสปัจจุบันไม่รู้เรื่อง เอาไปออกโฉนด มูลนิธิไมโต้แย้ง
- วัดเองก็มีเนื้อที่มากมายอยู่แล้วจะเอาสุสานไปหากินอีกทำไม
- วัดฉวยโอกาสเอาที่ดินของมูลนิธิไปออกโฉนด
- มูลนิธิใช้ที่ดินนี้มาก่อนสร้างวัดแล้ว
-วัดล้อมรั้วยึดพื้นที่สุสานและที่เก็บศพไร้ญาติ อ้างมีโฉนตถูกต้องทั้งทั้งๆ ที่พื้นที่
ดังกล่าว มูลนิธิฯ ใช้เก็บศพไร้ญาติและมีสุสานมานกว่า 60 ปี
- พระควรมีเมตตา ไม่ควรมายึดครองเป็นส่วนตัวของวัดไม่ได้ ควรรู้บุญรู้บาปไวกว่า
คนไม่ได้บวช เป็นพระอย่าโลภที่ดินของประชาชนทุกคน
-ให้มูลนิธิใช้ทำบุญดีกว่ามั้ยใจบุญเสื้อเมื่อกัน วัดไทยมีผลประโยชน์ มูลนิติสนิธิมีแต่ช่วย
- ควรตรวจสอบวัดแห่งนี้ผลประโยชน์คงมีแน่ กินพื้นที่ไปเรื่อยจะเอาเป็นพื้นที่วัดเลยมั้ง
- พระสงฆ์ทุกวันนี้ยิ่งบวชนานยิ่งโลกมากเป็นบางรูป พระที่ปฏิบัติชอบก็มีเยอะ
- ควรบริจาคที่เพิ่มให้วัดนะครับเพราะวัดพาณิชย์จะได้มีมากขึ้น
เมื่อมูลนิธิลพบุรีสามัคคีสงเคราะห์ได้รับทราบข้อเท็จจริงและผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อหลวงพ่อพระภาวนาวชิรญาณ วัดนิคมสามัคคีชัย คณะสงฆ์ ตลอดจนพี่น้องสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไปแล้ว พวกเรารู้สึกตกใจและเสียใจมาก จึงได้ขอความกรุณาจากท่านผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรีช่วยดำเนินการไกล่เกลี่ย ซึ่งท่านได้เมตตาให้ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือเป็นอย่างดียิ่ง หลังจากนั้นเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ และคืนความเป็นธรรมให้แก่วัดนิคมสามัคคีชัย มูลนิธิลพบุรีสามัคคีสงเคราะห์ จึงได้เร่งดำเนินการในเรื่องต่างๆ ให้เสร็จสิ้นไป ตั้งแต่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๘ ดังนี้
1. ทำการรื้อถอนวัตถุและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ออกจากที่ดินของวัดนิศมสามัคคีชัย
2. ขนอ้ายวัสตอุปกรณ์ และ นำบริวาร (เจ้าหน้าที่มูลนิธิ) ออกจากพื้นที่ทองวัดนิคม
สามัคคีชัย
3. แจ้งสำนักข่าวที่เกี่ยวข้องขอความกรุณาให้ลบข้อมูลข่าวสารที่ไม่ถูกต้อง
4. ถอนเรื่องราวร้องทุกข์จากศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดลพบุรี
5. ถอนแจ้งความร้องทุกข์กับวัดนิคมสามัคคีชัย ฐานบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์ ทำให้
เสื่อมหรือไร้ประโยชน์ซึ่งอัฐิและเถ้าของศพ
6. ถวายเจ้าที่สุสาน (แป๊ะกง) ให้กับวัดนิคนสามัคคีชัย เพื่อไท้บุตร หลาน ที่มีศพ
บรรพบุรุษฟังไว้ ได้สักการะตามเทศกาลต่างๆ ก่อนประกอบพิธีเช่นไหวับรรพบุรุษ
7. ถวายคืนพื้นที่สุสานทั้งหมด พร้อมศาลาเอนกประสงค์ พระพุทธรูป และสิ่ง
อุปกรณ์ต่างๆ ในการประกอบพิธีทางศาสนาให้กับวัดนิดนิคมสามัคดีชัย
8. ประธานและคณะกรรมการมูลนิธิลพบุรีสามัคคี ได้กระทำพิธีขอขมาต่อพระรัตนตรัยขอขมาต่อคณะสงฆ์ และถวายคืนพื้นที่ทั้งหมด ถวายศาลาเอนกประสงค์ พร้อมอุปกรณ์ และถวายสังฆทาน ณ วัดนิคมสามัคคีชัย เมื่อ 31 มีนาคม 2568
มูลนิริสพบุรีสามัคคีสมคราะห์ ตั้งขึ้นมาอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2511 ซึ่งย่อมเป็นที่ทราบกันดีว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านสาธารณะกุศล โดยที่ผ่านมามูลนิธิได้ให้ความช่วยเหลือผู้ยากไร้ด้อยโอกาส ผู้ประสบภัยพิบัติต่างๆ มอบทุนการศึกษา ช่วยเหลือเก็บศพและฌาปนกิจศพไร้ญาติ ตลอดจนให้การสนับสนุนหน่วยงานราชการและองค์การ
กุศลต่างๆ อย่างต่อเนื่องตลอดมา
ในฐานะที่เป็นองค์กรการกุศลและมีหน้าที่ช่วยเหลือสังคม ทำประโยชน์แก่สาธารณชน ยึดมั่นในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา พวกเรารู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ขอกราบนมัสการขอบพระคุณพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูงที่เมตตายกโทษอโหสิกรรมให้กับพวกเราพวกเราขอน้อมรับในความผิดพลาดด้วยกาย วาจา ใจ จึงกราบขอโทษขอขมาต่อหลวงพ่อพระภาวนาวชิรญาณ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดลพบุรี (ฝ่ายธรมยุต) เจ้าอาวาวาสวัดนิคมสามัคคีชัย อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี และคณะสงฆ์ รวมถึงศิษยานุศิษย์ กราบขอโทษขออภัยต่อสื่อมวลชน พุทธศาสนิกชน และประชาชนทั่วไปที่ได้รับข่าวสารที่ ไม่ถูกต้องมา ณ โอกาสนี้ด้วย
©2018 CK News. All rights reserved.