วันที่ 11 พ.ค.2568 ว่าที่ พ.ต.ต.อาวุธ ทิพย์วงศา สว.กก.1 บก.ปคม., นำกำลังเข้าจับกุม น.ส.ชลณกรณ์ฯ อายุ 59 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 53/2558 ลงวันที่ 12 มกราคม 2558 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันจัดหางานให้คนงานเพื่อไปทำงานต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนกลาง, ร่วมกันหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถจัดหางานหรือสามารถส่งไปฝึกงานต่างประเทศได้โดยการหลอกลวงนั้นได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง และร่วมกันฉ้อโกง”
สถานที่จับกุม บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง ต.ม่วงค่อม อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี
พฤติการณ์ เมื่อประมาณปลายปี 2557 ผู้เสียหายกว่า 100 คน เข้าร้องทุกข์ต่อกรมการจัดหางาน กรณีถูกน.ส.ชลณกรณ์ฯ ผู้ต้องหา ในนามบริษัทแห่งหนึ่ง หลอกลวงว่าสามารถส่งไปทำงาน เป็นพ่อครัว แม่บ้าน เกษตรกร ในประเทศต่างๆ ได้ อาทิ ประเทศแคนาดา นิวซีแลนด์ และโปรตุเกส โดยมีการเรียกเก็บค่าดำเนินการ 300,000 – 400,000 บาทต่อคน อ้างว่าเป็นค่าประกันวีซ่า ตั๋วเครื่องบิน ค่าส่งเอกสารไปต่างประเทศ แต่เมื่อถึงตามกำหนดนัด กลุ่มผู้เสียหายกลับไม่สามารถเดินทางไปทำงานได้จริง เมื่อสอบถามกลับได้รับการบ่ายเบี่ยงว่านายจ้างที่ต่างประเทศยังไม่พร้อมรับตัวคนงาน ขอเลื่อนการเดินทางเรื่อยมา จนกระทั่งกลุ่มผู้เสียหายทนไม่ไหวขอเงินคืน แต่ก็ไม่ได้รับการชดใช้เงินคืน และสุดท้ายไม่สามารถติดต่อได้
ทั้งนี้ ก่อนเกิดเหตุน.ส.ชลณกรณ์ฯ ผู้ต้องหา เป็นที่รู้จักในชื่อว่า “เจ๊เจี๊ยบ” ทำงานเป็นผู้ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน ที่ศูนย์ทดสอบมาตรฐานแรงงานเอกชนแห่งหนึ่ง ย่านลาดพร้าว สามารถลงนามในใบรับรองฝีมือแรงงานที่เป็นเอกสารสำคัญในการใช้ยื่นเพื่อไปทำงานต่างประเทศ ทำให้มีคนงานรู้จักจำนวนมาก และมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งให้ความไว้วางใจแก่คนหางาน จากนั้นได้ไปเปิดบริษัทขึ้นมา เพื่อจัดหาคนงานไปทำงานที่ต่างประเทศ ได้แก่ประเทศนิวซีแลนด์ ประเทศแคนาดา และประเทศโปรตุเกส ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553-2557 มีคนงานมาสมัครตลอดระยะเวลาที่เปิดบริษัท รวมกว่า 100 คน จ่ายเงินค่าดำเนินการให้กับเจ๊เจี๊ยบ ผู้ต้องหารายนี้ แต่ก็ไม่สามารถบินไปทำงานต่างประเทศได้จริง เกิดความเสียหายอย่างมาก มูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 30 ล้านบาท
เมื่อรับเรื่องดังกล่าว ทางเจ้าหน้าที่กองการตรวจและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน จึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปคม. ให้ดำเนินคดีกับ บริษัทดังกล่าว ซึ่งมี น.ส.ชลณกรณ์ฯ หรือเจ๊เจี๊ยบเป็นเจ้าของ จากการตรวจสอบประวัติและพฤติการณ์ทางทะเบียนจากกรมการจัดหางาน ปรากฏว่า น.ส.ชลณกรณ์ฯ และบริษัทดังกล่าว ได้ถูกกรมการจัดหางาน มีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตไปตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2554 เนื่องจากได้เคยกระทำความผิดหลอกลวงคนงานมาก่อน บริษัทฯ จึงไม่ได้รับอนุญาตให้จัดหางานให้คนงานเพื่อไปทำงานต่างประเทศ รวมทั้งเงินหลักประกันที่บริษัทวางไว้ต่อกรมการจัดหางาน จำนวน 5,000,000 บาท ก็ได้ถูกกรมการจัดหางานมีคำสั่งหักเพื่อคืนให้แก่คนงานที่ร้องทุกข์ไว้จนหมด ไม่เพียงพอที่จะหักคืนให้แก่ผู้เสียหายได้ครบถ้วนทุกราย
ต่อมาพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปคม. ได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอศาลออกหมายจับ
น.ส.ชลณกรณ์ฯ ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันจัดหางานให้คนงานเพื่อไปทำงานต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนกลาง, ร่วมกันหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถจัดหางานหรือสามารถส่งไปฝึกงานต่างประเทศได้โดยการหลอกลวงนั้นได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง และร่วมกันฉ้อโกง” ตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 53/2558 ลงวันที่ 12 มกราคม 2558
จนกระทั่ง ล่าสุดเจ้าหน้าที่สืบทราบว่า ผู้ต้องหาหลบหนีไปพักอาศัยอยู่ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี กับสามีใหม่ และมีลูกด้วยกัน 1 คน จึงได้ลงพื้นที่เพื่อสืบสวนติดตามตัว และเข้าทำการจับกุมผู้ต้องหา นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปคม. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
จากการตรวจสอบพบว่าผู้ต้องหายังเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับอีก จำนวน 6 หมาย และทั้งหมดกำลังใกล้ที่จะหมดอายุความลง มีดังนี้ หมายจับ ที่ จ.356/2559 สภ.บ้านดุง, หมายจับ ที่ 78/2557 สภ.สุวรรณคูหา, หมายจับ ที่ 290/2556 สภ.บ้านโคก, หมายจับ ที่ 29/2557 สภ.สุวรรณคูหา, หมายจับ ที่ 57/2559 สภ.บ้านตา, หมายจับ ที่ จ.107/2557 สภ.หนองสองห้อง ทั้งนี้ สาเหตุที่การติดตามจับกุมผู้ต้องหารายนี้เป็นไปด้วยความยากลำบากและใช้เวลายาวนาน เนื่องจากผู้ต้องหามีพฤติการณ์หลบหนีอย่างแนบเนียน และมีความระมัดระวังตัวสูง โดยได้ปกปิดอัตลักษณ์ของตน ด้วยการสร้างตัวตนใหม่โดยใช้ชื่อของบุคคลที่ไม่มีอยู่จริง
นอกจากนี้ ผู้ต้องหายังมีความรู้ความชำนาญในเส้นทางตามแนวชายแดนของ อ.แม่สอด จังหวัดตากหรือแนวชายแดนไทย-พม่า และสามารถใช้ช่องทางธรรมชาติในการหลบหนีได้อย่างคล่องแคล่ว เนื่องจากเป็นบุคคลในพื้นที่ชายแดนเดิม ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เพิ่มความยากต่อการติดตามตัวอย่างมาก และมีการเปลี่ยนแปลงที่พักอาศัยอยู่เป็นระยะ เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ จนต้องใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบและยืนยันข้อมูลอย่างรอบคอบ ก่อนจะสามารถเข้าทำการจับกุมตัวได้ในที่สุด
สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ระบุว่า ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ผู้ต้องหาใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมาน หวาดระแวง ไม่กล้าเปิดเผยตัวตน และรู้ดีว่าวันหนึ่งกฎหมายจะตามทัน แม้พยายามหลบหนีข้ามแดน แต่สุดท้ายก็ไม่อาจหลุดพ้นความผิดได้ ถูกจับกุมในที่สุด
©2018 CK News. All rights reserved.