รวบ 3 จนท.ธนาคารดัง ร่วมแก๊งคอลฯ ปลอมเอกสารให้ชาวจีน เปิดบัญชีหลอกเงินคนไทย


21 พ.ค. 2568, 12:19

รวบ 3 จนท.ธนาคารดัง ร่วมแก๊งคอลฯ ปลอมเอกสารให้ชาวจีน เปิดบัญชีหลอกเงินคนไทย




วันที่ 21 พฤษภาคม 2568 ตามนโยบายของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สั่งการกวาดล้างแก็งคอลเซ็นเตอร์ให้หมดไปภายในปีนี้โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผบ.ตร. มอบหมายให้  พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จตช. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  (ผอ.ศปอส.ตร.) นำมาตรการระเบิดสะพานโจร เพื่อทำลายโครงสร้างพื้นฐานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่างชาติ ประกอบด้วย สัญญาณโทรศัพท์ บัญชีธนาคาร  และกวาดล้างคนไทยที่ไปรวมกับคนต่างชาติในการหลอกลวงประชาชน

จากมาตรการเข้มงวดในการเปิดบัญชีม้า รวมทั้งการซีลชายแดนอย่างเข้มงวดทำให้กลุ่มแก๊งคนร้ายต่างชาติ เริ่มหันมาเปิดบัญชีม้าด้วยตนเองโดยใช้วีซ่านักท่องเที่ยว แล้วถอนเงินสดออกไปผ่านการกดเงินตู้ ATM เพื่อนำเงินที่หลอกคนไทยได้กลับไปยังประเทศของตนเอง โดยพบว่ามีกลุ่มเจ้าหน้าที่ธนาคารเข้ามามีส่วนร่วมในการทำเอกสารเท็จให้กับกลุ่มคนร้ายต่างชาติดังกล่าว
โดยเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2568 ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้ร่วมกันขยายผลสืบสวนกลุ่มคนร้ายสัญชาติจีนที่ มีพฤติกรรมเข้าข่ายต้องสงสัยว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยผลการสืบสวนขยายผลมีรายละเอียดดังนี้
สืบเนื่อง ศปอส.บช.น.ได้สืบสวนทราบว่ามีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนตระเวนกดเงินสดจากตู้ และ   ถอนเงินสดจำนวนมากที่เคาน์เตอร์ธนาคาร กระทั่งประมาณกลางเดือนมีนาคม พบว่ามีชาวจีนเปิดบัญชีธนาคาร จำนวน 15 บัญชี เมื่อเปิดบัญชีธนาคารแล้ว จะตระเวนกดเงินสดจากตู้ และถอนเงินสดจำนวนมากที่เคาน์เตอร์ธนาคารภายใน 1–2 วัน แล้วเดินทางออกนอกประเทศทันที จากการรวบรวมพบว่ามีเงินที่ถูกถอนทั้งสิ้น 91 ล้านบาท
จากการสืบสวนพบว่าเจ้าของบัญชีธนาคารชาวจีนทั้ง 15 ราย จะเดินทางเข้ามาในประเทศ โดยมีกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนที่อยู่ในประเทศไทยคอยอำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มชาวจีน อาทิ ซื้อซิม โทรศัพท์ เปิดบัญชีธนาคาร เมื่อเปิดบัญชีแล้วจะมีเงินถูกโอนเข้ามาให้กับบัญชีธนาคารทั้ง 15 บัญชี รวมเงินประมาณ 118 ล้านบาท จากการตรวจสอบระบบแจ้งความออนไลน์ทางเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.com ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าบัญชีธนาคารชาวจีนทั้ง 15 บัญชี มีการแจ้งความดำเนินคดีแล้ว จำนวน 106 คดี แล้วยังพบบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ใช้หลอกลวงอีก 462 บัญชี จากการตรวจสอบพบว่าบัญชีที่มีการแจ้งความแล้วจำนวน 2,084 คดี มูลค่าความเสียหายทั้งหมด 2,200 ล้านบาท
ต่อมาเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2568 ศปอส.บช.น. ได้การจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาที่ทำหน้าที่คอยจัดการ และอำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มคนร้ายชาวจีนที่มาเปิดบัญชีและถอนเงินออกไปจำนวน 5 ราย
1. MR. YANG (นายหยาง) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 2696/2568 ลงวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อั้งยี่ และร่วมกันฟอกเงิน” (สน.บึงกุ่ม) เกี่ยวข้องเป็นกลุ่มจัดหาบัญชีม้า
2. MR. XIE (นายเซี่ย) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 2695/2568 ลงวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อั้งยี่ และร่วมกันฟอกเงิน” (สน.บึงกุ่ม) เกี่ยวข้องเป็นกลุ่มจัดหาบัญชีม้า

3. MR. HANG (นายฮาง) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนงที่ 279/2568 ลงวันที่ 23 เม.ย. 68 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อั้งยี่ และร่วมกันฟอกเงิน” (สน.ประเวศ) เกี่ยวข้องเป็นกลุ่มควบคุมการถอนเงิน
4. MR. WU (นายหวู) ถูกดำเนินคดีในข้อหา “เป็นธุระจัดหา เพื่อให้มีการซื้อ ขาย ให้เช่า หรือให้ยืมบัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี” นำส่งพนักงานสอบสวน สน.สุทธิสาร เกี่ยวข้องเป็นกลุ่มควบคุมการถอนเงิน
นอกจากนั้นขยายผลพบว่าในการเปิดบัญชีธนาคารของกลุ่มชาวจีนที่ธนาคารแห่งหนึ่งในอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี มีกลุ่มเอเจนซี่และกลุ่มพนักงานธนาคารมีความเกี่ยวข้องกับขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ชาวจีนดังกล่าว จึงได้ไปดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกับกลุ่มเอเจนซี่และกลุ่มพนักงานธนาคารต่อพนักงานสอบสวน สภ.บางละมุง ซึ่งทาง ศปอส.ภ.2. โดย พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผบช.ภ.2 และ  พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภ.2 ได้รวบรวมพยานหลักฐานนำไปสู่การขออนุมัติหมายจับกลุ่มคนที่เกี่ยวข้อง รวม 6 ราย ดังนี้
1. นางสาวสิริลักษณ์ ผู้ต้องหาตามหมายจับข้อหา “ร่วมกันเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าว โดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อขาย ให้ข่าว หรือให้ยืมบัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด” (สภ.บางละมุง) เกี่ยวข้องเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร
2. นางสาวชุติมา ผู้ต้องหาตามหมายจับ ข้อหา “ร่วมกันเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าว โดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อขาย ให้ข่าว หรือให้ยืมบัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด ,ร่วมกันเป็นผู้สนับสนุนกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน” (สภ.บางละมุง) เกี่ยวข้องเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร
3. นายทรงพล ผู้ต้องหาตามหมายจับ ข้อหา “ร่วมกันเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าว โดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อขาย ให้ข่าว หรือให้ยืมบัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด ,ร่วมกันเป็นผู้สนับสนุนกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน” (สภ.บางละมุง) เกี่ยวข้องเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร

4. นางสาวมนธิดา จันทะยานี ผู้ต้องหาตามหมายจับข้อหา “ร่วมกันเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าว โดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อขาย ให้ข่าว หรือให้ยืมบัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด” (สภ.บางละมุง) เกี่ยวข้องเป็นล่าม
5. นายณรงค์ฤทธิ์ ต่อมใจ  ผู้ต้องหาตามหมายจับข้อหา “ร่วมกันเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าว โดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อขาย ให้ข่าว หรือให้ยืมบัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด และเปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาญชากรรมทางเทคโนโลยี หรือความผิดทางอาญาอื่นใด” (สภ.บางละมุง) เกี่ยวข้องเป็นล่าม
 
พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้เริ่มปรับตัวใช้วีซ่าท่องเที่ยวมาเปิดบัญชีด้วยตนเอง โดยมีเจ้าหน้าที่ธนาคารกลุ่มหนึ่งให้ความช่วยเหลือ ทาง ศปอส.ตร. จะได้มีการขยายผลในคดี จับกุม ยึดทรัพย์ กลุ่มคนร้ายที่เกี่ยวข้องให้ถึงที่สุด ซึ่งยังมีบัญชีม้าที่เกี่ยวข้องอีกเป็นจำนวนมากมูลค่าความเสียหายเป็นหลักพันล้านบาท และในคดีนี้พบช่องว่างของการทำงานของธนาคาร ซึ่งจะต้องมีมาตรการเข้มงวดในการตรวจสอบมากขึ้นต่อไป





คำที่เกี่ยวข้อง : #แก๊งคอล  









©2018 CK News. All rights reserved.