วันที่ 2 ธ.ค.1 2568 ศาสตราจารย์กิตติคุณ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สภานโยบาย) ครั้งที่ 3/2568 โดยมี นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในฐานะรองประธาน พร้อมด้วย ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. และ ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ในฐานะเลขานุการสภานโยบาย รวมถึงผู้บริหารระดับสูงจากกระทรวงที่เกี่ยวข้อง และผู้ทรงคุณวุฒิ เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล โดยที่ประชุมสภานโยบายฯ ได้มีมติในนโยบายที่สำคัญเพื่อขับเคลื่อนการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) ของประเทศ
การประชุมครั้งนี้ได้มีมติและข้อเสนอเชิงนโยบายสำคัญหลายประการ ครอบคลุมตั้งแต่การบริหารจัดการอุทกภัย การพัฒนากำลังคน การยกระดับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ไปจนถึงมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม
โดยช่วงต้นของการประชุม ศาสตราจารย์กิตติคุณบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานสภานโยบาย ได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. รายงานผลการดำเนินงานการบริหารจัดการปัญหามหาอุทกภัยในภาคใต้ ซึ่งนายสุรศักดิ์ รมว.อว. ได้รายงานต่อที่ประชุมว่าสถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้และอีกหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเรียนการเรียนสอนของสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ รวมถึงการสอบ TGAT/TPAT ระหว่างวันที่ 13 – 15 ธันวาคมนี้เนื่องจากสนามสอบในหลายจังหวัดได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดย อว. ได้มีการหารือกับที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เพื่อพิจารณาให้มีการเลื่อนสอบในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ การเยียวยานักศึกษาผู้ประสบอุทกภัยโดยการคืนค่าเล่าเรียนเต็มจำนวนซึ่งจำเป็นต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อกำหนดเพดาน ตลอดจนมาตรการช่วยเหลือแรงงานในพื้นที่ด้วยการหาตำแหน่งงานและ Upskill Reskill
ศาสตราจารย์กิตติคุณ บวรศักดิ์ กล่าวสนับสนุน โดยเน้นย้ำว่าประเทศไทยยังขาดระบบบริหารจัดการอุทกภัยที่เป็นเอกภาพ และชี้ตัวอย่างเหตุการณ์น้ำท่วมที่หาดใหญ่ซึ่งสะท้อนความไม่พร้อม พร้อมสั่งการให้กระทรวง อว. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นแกนหลักในการทำงานแบบเร่งด่วน โดยเน้นการถอดบทเรียนจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและจากประเทศที่ประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการ เช่น ประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น โดยอาจเชิญผู้เชี่ยวชาญจากประเทศดังกล่าวมาให้ความเห็น พร้อมจัดทำคู่มือเตรียมพร้อมสำหรับภาครัฐและประชาชน รวมถึงการบูรณาการการทำงานและเชื่อมโยงข้อมูลภัยพิบัติผ่าน Data Exchange โดยเชื่อมโยงการทำงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาสาภาคประชาชนตามที่มีการเสนอในที่ประชุมด้วย

“การถอดบทเรียนเพื่อทำข้อเสนอในครั้งนี้ควรแล้วเสร็จภายใน 3 เดือน นอกจากนี้สิ่งที่น่าห่วงคือ หากกรุงเทพมหานครเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ความเสียหายจะสูงระดับ “ล้านล้านบาท” ซึ่งจำเป็นต้องเตรียมการล่วงหน้าอย่างจริงจัง” รองนายกรัฐมนตรีย้ำ
ด้าน ดร.สุรชัย ได้นำเสนอหลักการจัดทำกรอบนโยบายและยุทธศาสตร์ อววน. ฉบับใหม่ (พ.ศ. 2571–2575) เพื่อใช้ต่อจากแผนเดิมที่จะสิ้นสุดลงในปี 2570 โดยมีหลักการสำคัญคือ การนำแนวคิด Mission-Oriented Innovation Policy (MOIP) ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เพื่อแก้โจทย์ของประเทศที่ซับซ้อน เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) สังคมสูงวัย ความเหลื่อมล้ำ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) พร้อมระบุ Theme และ Mission ที่วัดผลได้จริง นอกจากนี้ยังเร่งออกแบบระบบขับเคลื่อนใหม่ตั้งแต่ระดับนโยบาย แผน อววน. ไปจนถึงแผนปฏิบัติการของหน่วยงาน

ดร.สุรชัย ได้นำเสนอแนวทางการนำ อววน. ไปขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ โดย สอวช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดทำกรอบพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง พ.ศ. 2569–2575 และกรอบการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพด้วยการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) พ.ศ. 2569-2578เพื่อขับเคลื่อนทั้งสองอุตสาหกรรมให้เป็นวาระสำคัญเร่งด่วนของประเทศ โดยมีเป้าหมายผลักดันไทยผู้ประกอบการไทยให้มีความสามารถทัดเทียมนานาประเทศพร้อมวางแผนระยะยาวให้ไทยสามารถสร้างเทคโนโลยีได้เองและเป็นผู้ส่งออกเทคโนโลยีได้ในอนาคต
ดร.สุรชัย ยังได้นำเสนอข้อเสนอ “Quick Big Win” เรื่อง มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (มาตรการยกเว้นภาษี R&D 300%) ตามที่คณะกรรมการพิเศษเฉพาะเรื่อง เพื่อการติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามนโยบายยุทธศาสตร์ และแผน ววน. ภายใต้สภานโยบายเป็นผู้เสนอ ซึ่งผลการติดตามและประเมินผลที่ผ่านมาพบว่า การดำเนินมาตรการดังกล่าวในช่วงปี 2558 – 2562 สามารถกระตุ้นการลงทุนด้าน R&D ของภาคเอกชน และเกิดผลกระทบเชิงบวกจากผลของโครงการวิจัยและพัฒนา เช่น เพิ่มกำไร เพิ่มยอดขาย และเพิ่มมูลค่าการจ้างงาน ซึ่งโดยรวมแล้ว รัฐยังคงได้ประโยชน์ไปพร้อม ๆ กับการเติบโตของภาคเอกชนและเศรษฐกิจของประเทศ แต่เมื่อมาตรการภาษี 300% สิ้นสุดลง การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชนก็ลดลงเรื่อย ๆ จนทำให้ค่าใช้จ่ายวิจัยและพัฒนาของทั้งประเทศลดลง สภานโยบายจึงได้มีมติเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้มีการดำเนินการมาตรการดังกล่าวต่อไป

ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ได้นำเสนอการขอขยายระเวลาการดำเนินโครงการผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่ฯ (พ.ศ. 2570–2574) โดยที่ประชุมสภานโยบาย มีมติเห็นชอบข้อเสนอดังกล่าว ซึ่งจะผลิตกำลังคนสมรรถนะสูง Reskill/Upskill/New Skill ปรับระบบประเมินทักษะ (Micro-credential / Alt. Transcript) พัฒนาแพลตฟอร์มบริหารจัดการกำลังคนเชิงระบบ รองรับความต้องการของตลาดแรงงานที่ต้องการกำลังคนที่มีทักษะสูง ทันสมัย และทำงานได้จริง


©2018 CK News. All rights reserved.