องค์การอนามัยโลก ประกาศ ยุติโควิด-19 จาก"ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขโลก"หลังระบาดนาน 3 ปี


6 พ.ค. 2566, 11:54

องค์การอนามัยโลก ประกาศ ยุติโควิด-19 จาก"ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขโลก"หลังระบาดนาน 3 ปี




วันที่ 6 พฤษภาคม 2566 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เผยแพร่แถลงการณ์การประชุมครั้งที่ 15 เกี่ยวกับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) จัดขึ้นเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา  เตโวโดรส อัดฮาโนม เกอเบรออีเยอซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก ได้กล่าวไว้ใจความว่า

เมื่อ 1,221 วันก่อนหน้านี้ องค์การอนามัยโลกได้รับทราบกลุ่มผู้ป่วยโรคปอดอักเสบที่ไม่ทราบสาเหตุในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และต่อมาในวันที่ 30 มกราคม ปี 2563 ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขโลก ภายใต้ความกังวลของนานาประเทศเกี่ยวกับการระบาดทั่วโลกของโควิด-19 ซึ่งเป็นการเตือนภัยระดับสูงสุดภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ โดยขณะนั้นภายนอกประเทศจีน พบผู้ติดเชื้อโควิดน้อยกว่า 100 ราย และไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต

และในระยะเวลา 3 ปีนับแต่นั้น โควิด-19 ได้แพร่ระบาดไปทั่วโลก องค์การอนามัยได้รับรายงานผู้เสียชีวิตราว 7 ล้านคน ทว่าเราทราบดีกว่ายอดผู้เสียชีวิตสูงกว่านี้หลายเท่า อย่างต่ำคือ 20 ล้านคน ระบบสาธารณสุขหยุดชะงักอย่างรุนแรง ผู้คนนับล้านคนเข้าไม่ถึงการบริการด้านสุขภาพที่จำเป็น รวมไปถึงวัคซีนเพื่อรักษาชีวิตของเด็กๆ

และโควิด-19 ยังเป็นมากกว่าวิกฤตทางด้านสุขภาพ ด้วยส่งต่อการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ลบหลายล้านล้าน การท่องเที่ยว การค้า และธุรกิจต้องปิดตัวไปจำนวนมาก ประชาชนหลายล้านคนต้องตกอยู่ภายใต้ความยากจน เป็นต้นเหตุให้เกิดกลียุคทางสังคม มีการปิดพรมแดน จำกัดความเคลื่อนไหว โรงเรียนงดการศึกษา และผู้คนหลายล้านคนต้องประสบกับความเดียวดาย วิตกกังวล และซึมเศร้า

โควิด-19 ยังได้ส่งผลให้เรื่องการเมืองภายในประเทศรุนแรงและแย่ลง ด้วยส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลของพวกเขา ด้วยกระแสข้อมูลที่ผิดพลาดและบิดเบื่อน ซึ่งสิ่งนี้ได้เผยให้เห็นความไม่เท่าเทียมกันในโลกของเรา ชุมชนที่ยากจนที่สุดและเปราะบางที่สุด จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด และเป็นที่สุดท้ายที่จะเข้าถึงวัคซีนและเครื่องมืออื่นๆ

อย่างไรก็ตามเป็นเวลาร่วมปีแล้วที่โรคระบาดมีแนวโน้มลดลง เพราะประชากรมีภูมิคุ้มกันมากขึ้นจากการได้รับวัคซีนและการติดเชื้อ เมื่อยอดเสียชีวิตลดลง ก็ลดแรงกดดันต่อระบบสาธารณสุขลงด้วย และด้วยสิ่งนี้ทำให้ประเทศส่วนใหญ่กลับมามีชีวิตเหมือนที่เราเคยสัมผัสมาก่อนหน้านี้

และในปีที่ผ่านมาองค์การอนามัยโลก ก็ได้วิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบคอบและพิจารณาว่าถึงเวลาเหมาะสมแล้ว ในการลดระดับการเตือนภัยลง และเมื่อวานนี้คณะกรรมการเหตุฉุกเฉินก็ได้ประชุมร่วมกันเป็นครั้งที่ 15 และแนะนำให้ผมประกาศยุติภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขที่เป็นข้อกังวลระหว่างประเทศ ซึ่งผมเห็นด้วย

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงขอประกาศว่า ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขโลก ของ โรคโควิด-19 ได้ยุติลงแล้ว อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่า โควิด-19 จะไม่เป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของคนทั่วโลก

เพราะเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในทุกๆ 3 นาที โควิด-19 ยังพรากชีวิตผู้คน และในขณะที่เราพูดอยู่นี้ก็ยังมีผู้คนหลายพันคนทั่วโลกกำลังต่อสู้เพื่อรักษาชีวิตของพวกเขาให้หอผู้ป่วยรัก และอีกหลายล้านคนยังใช้ชีวิตอยู่กับผลกระทบที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรมหลังจากติดเชื้อ

ไวรัสตัวนี้ยังคงอยู่ และมันยังคงฆ่าและแปรปลี่ยนไปเรื่อยๆ ความเสี่ยงยังคงมีอยู่จากสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้นซึ่งทำให้มีผู้ป่วยและเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น ฉะนั้น “สิ่งที่เลวร้ายที่สุด” ที่ทุกประเทศสามารถทำได้ในตอนนี้คือใช้ข่าวนี้เป็นเหตุผลในการลดการป้องกัน รื้อระบบที่สร้างขึ้น หรือส่งข้อความถึงประชาชนว่าโควิด-19 ไม่มีอะไรต้องกังวล

ทว่าจริงๆ ข่าวนี้มีความหมายว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศต่างๆ จะต้องเปลี่ยนจากโหมดฉุกเฉินไปสู่การจัดการโควิด-19 ควบคู่ไปกับโรคติดเชื้ออื่นๆ และขอย้ำว่านี่ไม่ใช่การตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น แต่ผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และหากมีความจำเป็น โควิด-19 ทำให้โลกของเราตกอยู่ในอันตรายอีกครั้ง ผมก็ไม่รีรอที่จะเรียกประชุมคณะกรรมการฉุกเฉินนี้อีกครั้ง

และแม้ว่าคณะกรรมการฉุกเฉินจะยุติการทำงานแล้ว แต่ได้ส่งข้อความถึงทุกประเทศอย่างชัดเจนว่า จะต้องไม่หยุดการทำงาน และตามข้อแนะนำในที่ประชุม ผมได้ตัดสินใจที่จะใช้ข้อกำหนดด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศที่ไม่เคยใช้มาก่อน เพื่อจัดตั้งคณะกรรมการทบทวนและพัฒนาข้อแนะนำในระยะยาวเพื่อบริหารจัดการโควิด-19 ในประเทศ อย่างต่อเนื่อง





คำที่เกี่ยวข้อง : #โควิด  









©2018 CK News. All rights reserved.