ไทยเผชิญความเสี่ยงวิกฤต “โรคติดเชื้อดื้อยา”ผู้ติดเชื้อกว่า 88,000 ราย-เสียชีวิต 38,000 รายต่อปี ส่งผลระบบสาธารณสุข ความมั่นคงระบบยาไทย


21 พ.ย. 2568, 19:21

ไทยเผชิญความเสี่ยงวิกฤต “โรคติดเชื้อดื้อยา”ผู้ติดเชื้อกว่า 88,000 ราย-เสียชีวิต 38,000 รายต่อปี ส่งผลระบบสาธารณสุข ความมั่นคงระบบยาไทย




วันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 – จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผนึกกำลัง คณะทำงานสร้างความเข้มแข็งประชาชนด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (สยส.)  ภาคเอกชน เร่งปลุกสังคมตื่นตัวต่อภัยเงียบ ‘เชื้อดื้อยา’ที่กำลังท้าทายระบบสุขภาพไทย เดินหน้าจัดกิจกรรมเสวนาวิชาการโครงการ “ดื้อยาหยุดได้” ภายใต้หัวข้อ หยุดดื้อยา หยุดท้าทายระบบ ร่วมกันสื่อสารมุมมองใหม่ด้านการใช้ยาให้คนไทยพร้อมเผยพฤติกรรมการใช้ยาแรงเกินจำเป็นที่กำลังก่อผลกระทบต่อระบบสุขภาพและเศรษฐกิจของประเทศ โดยภายในงานได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญจากคณะแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัท เจซีแอนด์โค คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด มาร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกและเน้นย้ำความสำคัญของการใช้ยาอย่างสมเหตุผล พร้อมเร่งเสริมสร้างความเข้าใจด้านสุขภาพให้ประชาชนอย่างถูกต้องและยั่งยืน

 

ผศ. นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล ประธานคณะทำงานสร้างความเข้มแข็งประชาชนด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (สยส.) กล่าวว่า สถานการณ์เชื้อดื้อยาในประเทศไทยมีความรุนแรงและยืดเยื้อมานานนับ 10 ปีโดยมีปัจจัยสำคัญจากการใช้ยาปฏิชีวนะเกินความจำเป็นของประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ จนส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบสาธารณสุขและเศรษฐกิจของประเทศ โดยพบพฤติกรรมการใช้ยาที่ไม่เหมาะสมของประชาชน เช่น การวินิจฉัยโรคเองและซื้อยาปฏิชีวนะมารับประทานโดยไม่เข้าใจความจำเป็นหรือความแตกต่างของยา ซึ่งล้วนส่งผลให้ปัญหาเชื้อดื้อยารุนแรงขึ้น รวมถึงการเข้าถึงยาที่สะดวกแม้เป็นยาที่ออกฤทธิ์แรงเกินจำเป็น ทั้งในร้านขายยา ร้านชำ ตลาดนัด และช่องทางออนไลน์ ล้วนเป็นปัจจัยที่เร่งปัญหาเชื้อดื้อยาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากยาปฏิชีวนะแทบทุกชนิดในประเทศมีอัตราการดื้อยาในอัตราสูงถึงสูงมาก และบางชนิดสูงถึง 83% เช่น Amoxicillin ทำให้ยาที่มีอยู่ไม่สามารถออกฤทธิ์ได้เต็มประสิทธิภาพ โดยแนวทางการแก้ไขปัญหาที่สำคัญคือการสร้างความตระหนักรู้และให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับการใช้ยาอย่างถูกต้อง ควบคู่กับการส่งเสริมให้บุคลากรทางการแพทย์ มีความตระหนักในการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลและรับผิดชอบต่อปัญหาเชื้อดื้อยา รวมทั้งดำเนินการตามแนวทางดูแลการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสม (AMS) ในสถานพยาบาลและร้านยาอย่างจริงจัง

“ผลกระทบของเชื้อดื้อยาต่อระบบสุขภาพและเศรษฐกิจมีความรุนแรงและหลากหลาย เนื่องจากอัตราการดื้อยาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้การรักษาโรคติดเชื้อที่เคยง่ายกลับกลายเป็นซับซ้อนและรุนแรงมากขึ้น อีกทั้งการรักษาผู้ป่วยเชื้อดื้อยาต้องใช้ยาที่มีราคาสูงกว่าปกติหลายเท่า ส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายทั้งทางตรงและทางอ้อมสูงถึง 40,000 ล้านบาทต่อปี ระบบสาธารณสุขจึงต้องรับภาระหนักขึ้น ทั้งจากปัญหาเตียงไม่เพียงพอและการรักษาที่ใช้เวลานานขึ้น โดยผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดคือการสูญเสียชีวิตของผู้ป่วย ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อดื้อยาราว 88,000 คนต่อปี และมีผู้เสียชีวิตมากถึง 38,000 คนต่อปี”

 

ผศ. เภสัชกร ดร.กิติยศ ยศสมบัติ ผู้ช่วยคณบดี คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปัญหาเชื้อดื้อยาเป็นหนึ่งในวิกฤตด้านสุขภาพที่ท้าทายที่สุดทั้งในประเทศไทยและระดับโลก ที่ส่งผลกระทบต่อทุกคน ไม่ใช่เฉพาะผู้ป่วยติดเชื้อที่ต้องการใช้ยาปฏิชีวนะเท่านั้น เพราะปัญหาเชื้อดื้อยาเกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่สมเหตุผลทั้งในคน สัตว์ สิ่งแวดล้อม และระบบอาหาร ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นองค์ประกอบของแนวคิด One Health ที่เน้นว่าการควบคุมเชื้อดื้อยาจะสำเร็จได้ ต้องทำงานแบบบูรณาการทุกภาคส่วน และต้องเริ่มจากความเข้าใจว่า “ยาปฏิชีวนะมีการกระจายอยู่ในชีวิตเราแทบทุกมิติ” นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเผชิญการเข้าถึงยาปฏิชีวนะที่ง่าย ความเข้าใจผิดในประชาชน และการใช้ยาเกินจำเป็นทั้งในคน โรงพยาบาล และภาคปศุสัตว์ ส่งผลให้เชื้อดื้อยาหมุนเวียนในอาหาร น้ำ และสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เมื่อภาพรวมของปัญหาเป็นแบบนี้ การสื่อสารสาธารณะเพื่อหยุดเชื้อดื้อยาจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของ “การให้ข้อมูล” แต่ต้องเป็นการสื่อสารที่เข้าใจโครงสร้างสังคมและพฤติกรรมมนุษย์อย่างลึกซึ้ง การสื่อสารที่ดีควรมีพื้นฐานจากหลักฐานทางวิชาการแต่ต้องถูกแปลให้เข้าใจง่าย เข้าถึงได้ และสามารถกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมจริง และทำให้การไม่ใช้ยาปฏิชีวนะแบบพร่ำเพรื่อ กลายเป็นภาพลักษณ์ของคนที่มีความรู้ มีเหตุผล และรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น

“ความเข้าใจผิดของประชาชนยังพบได้อย่างกว้างขวาง เช่น ความเชื่อว่า ‘ท้องเสียต้องกินยาฆ่าเชื้อ’ หรือ ‘เจ็บคอให้ร้านยาจัดยาฆ่าเชื้อให้’ ขณะเดียวกันโรงพยาบาลหลายแห่งยังมีการสั่งใช้ยาปฏิชีวนะเกินความจำเป็น จากทั้งภาระงานที่สูงและความคาดหวังของผู้ป่วยที่อยากได้ ‘ยาแรง’ เพื่อให้หายเร็วขึ้น สถานการณ์นี้สะท้อนว่าการสื่อสารสาธารณะต้องมุ่งสร้าง Health Literacy Movement และ Rational Drug Use Literacy อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่การรู้ศัพท์หรือจำข้อมูลเท่านั้น แต่ต้องทำให้ประชาชนรู้จักตั้งคำถามที่ถูกต้อง และกล้าถามแพทย์หรือเภสัชกรว่า ‘ยานี้จำเป็นหรือไม่’ ‘มีวิธีรักษาอื่นไหม’ หรือ ‘ควรใช้อย่างไรให้ปลอดภัย’ ควบคู่กับการเรียนรู้วิธีสังเกตอาการของตนเอง รู้ว่าโรคใดไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ และเข้าใจสิ่งที่ควรคาดหวังจากระบบบริการสุขภาพ นี่คือหัวใจของการสร้าง ‘Empowerment’ ที่ทำให้ประชาชนไม่ใช่เพียงผู้รับข้อมูลแบบ Passive แต่เป็นผู้ตัดสินใจด้านสุขภาพด้วยความเข้าใจและเหตุผลอย่างแท้จริง”

 

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธีรดา จงกลรัตนาภรณ์ หัวหน้าภาควิชาการประชาสัมพันธ์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ประชาชนตระหนักว่าปัญหาเชื้อดื้อยาเป็นภัยใกล้ตัว ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ปัจจุบันยังมีช่องว่างและความท้าทายอยู่มาก เพราะสังคมไทยกำลังอยู่ท่ามกลางสองแรงปะทะสำคัญ คือ ‘ความตื่นตัวด้านสุขภาพ’ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากหลังยุคโควิด และ ‘ความตื่นตระหนกจากข่าวสาร’ ที่ถูกแชร์ซ้ำแบบไร้การกลั่นกรอง ทำให้ข้อมูลการแพทย์ที่ถูกต้องมักถูกกลบด้วยความเข้าใจผิด เนื้อหาเชิงอารมณ์ หรือคำแนะนำที่ไม่อิงหลักวิชาการ สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้การแก้ปัญหาเชื้อดื้อยาเป็นเรื่องท้าทายกว่าเดิม

“การสื่อสารจึงต้องตอบโจทย์ทั้งสองด้านพร้อมกัน (Two-way Communications) คือทำให้ประชาชนรับรู้ความเสี่ยงได้อย่างถูกต้อง โดยไม่สร้างความหวาดกลัวเกินจำเป็น เราจึงต้องวางกลยุทธ์และกลวิธีสื่อสารที่น่าเชื่อถือ เพื่อทำให้ปัญหาเชื้อดื้อยาเป็นเรื่องที่ทุกคนมองเห็นและเข้าใจว่าเกี่ยวข้องกับตัวเอง กลยุทธ์การสื่อสารในยุคนี้ควรมุ่งไปที่ ‘การสร้างบทสนทนา ไม่ใช่การสั่งสอน’ โดยเปิดพื้นที่ให้ประชาชนตั้งคำถาม เรียนรู้ และแลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างเท่าเทียม การใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่ตัดสิน และไม่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าถูกตำหนิ จะช่วยให้สารสำคัญเกี่ยวกับการใช้ยาอย่างสมเหตุผลถูกส่งต่ออย่างกว้างขวางและมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

 

ด้าน นายณภัทร กาญจนะจัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจซีแอนด์โค คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด กล่าวว่า ในยุคที่ข้อมูลด้านสุขภาพหลั่งไหลแบบไร้ขีดจำกัดบนโลกออนไลน์ การมี ‘Health Media Literacy’ ให้สังคมตั้งคำถามก่อนเชื่อ จึงเป็นทักษะสำคัญที่ประชาชนทุกคนต้องมีติดตัว เพื่อแยกแยะข้อเท็จจริงออกจากความเชื่อผิด ๆ หรือข้อมูลที่มีเจตนาชวนให้ตื่นตระหนก ทั้งนี้บทบาทของนักประชาสัมพันธ์และเอเจนซี่ด้านการสื่อสารในวันนี้ต้องก้าวข้ามจากเพียงการผลิตคอนเทนต์ แต่ต้องเป็น “ผู้ดูแลระบบนิเวศข้อมูล” ที่ต้องส่งมอบสาร ซึ่งผ่านการตรวจสอบทางวิชาการ และช่วยสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับสังคม เพื่อให้ประชาชนสามารถตัดสินใจด้านสุขภาพบนพื้นฐานของเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ เมื่อประชาชนมีภูมิคุ้มกันทางข้อมูล และทุกภาคส่วนตั้งแต่ภาครัฐ ภาควิชาการ สื่อ ไปจนถึงผู้ผลิตคอนเทนต์ ร่วมกันยกระดับมาตรฐานการสื่อสารด้านสุขภาพร่วมกัน ปัญหาเชื้อดื้อยาจะไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นวิกฤตที่สังคมไทยสามารถรับมือและลดความสูญเสียได้ในระยะยาว

สำหรับโครงการ “ดื้อยาหยุดได้” จัดขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักรู้และเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาภัยเงียบจากเชื้อดื้อยา ซึ่งเป็นวาระสำคัญด้านสาธารณสุขของประเทศไทยและทั่วโลก โดยมุ่งเน้นการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและการรับรู้ในระดับสังคม ผ่านการถ่ายทอดข้อเท็จจริงจากบุคลากรทางการแพทย์ นักวิชาการด้านสาธารณสุข และผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสาร พร้อมถอดบทเรียนที่สามารถนำไปสู่การพัฒนานโยบายและการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบในอนาคต นอกจากการจัด “เสวนาวิชาการ ดื้อยาหยุดได้ ภายใต้หัวข้อ หยุดดื้อยา หยุดท้าทายระบบ สื่อสารมุมมองใหม่การใช้ยาให้คนไทย” แล้ว ทางโครงการยังเดินหน้าสร้างการรับรู้ผ่านสื่อสังคมออนไลน์อย่างต่อเนื่อง เพื่อปลุกให้สังคมตื่นรู้และร่วมกันแก้ไขปัญหาเชื้อดื้อยา ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลและเนื้อหาความรู้เพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊กแฟนเพจ กินยาสมเหตุ หายโรคสมผล ทุกคนสมใจ  https://www.facebook.com/pillproperly





คำที่เกี่ยวข้อง : #โรคติดเชื้อดื้อยา  









©2018 CK News. All rights reserved.